ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อคของ ณรงค์ฤทธิ์ แสนกรุง โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม วิชาประวัติศาสตร์ ครูชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา

ข่าว

ข่าว

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

การเปลี่ยนแปลงการสอน


การเปลี่ยนแปลงการสอน
  • เราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงการสอน ไปในแนวทางผู้เรียนเป็นสำคัญ แต่ทุกวันนี้ ครูส่วนใหญ่ยังทำการสอน แบบผู้เรียนเป็นสำคัญไม่ได้ เพราะอุปสรรคต่างๆ มากมาย
  • ทั้งปัญหาจำนวนนักเรียนต่อห้อง คาบการสอนที่สั้นเกินกว่าจะฝึกทักษะเด็ก การบูรณาการวิชาต่างๆ ก็ยังมีการทำกันได้น้อยมาก
  • แม้จะมีความตั้งใจ แต่เวลาของครูเรา ยังต้องมาหมดไปกับการทำรายงานส่ง สมศ.ต้องมาทำงานวิจัยเพื่อเลื่อนวิทยฐานะ ต้องเตรียมรับการประเมินผล และล่าสุดต้องมาเร่งให้เด็กสอบโอเนตได้คะแนนมากๆ
  • ส่วนเด็กนักเรียนระดับประถม ต้องเรียน 8 สาระการเรียนรู้ หนักเลยครับ จากเด็กร่าเริง สนุกสนาน ต้องกลายเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนข้อมูลตั้งแต่เช้าจรดเย็น ใครรับได้ ก็กลายเป็นเด็กเรียนเก่ง ส่วนใครไม่ชอบก็กลายเป็นเด็กไม่รักเรียน เด็กเกเร
  • เด็ก 70% ของเราไม่ได้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษาหรอกครับ และสิ่งที่เขาได้รับจากระบบการศึกษาแบบเดิมนี้ คือ การถูกประเมินว่า “ไม่เก่ง” “เรียนแย่”และเมื่อเขาต้องออกจากระบบโรงเรียนเขาก็ไม่สามารถใช้วิชาต่างๆ ที่เขาต้องใช้เวลาเรียนมามากมาย มาเพื่อพัฒนาชีวิตเขา
  • สำหรับเด็กอีก 30% ที่มุ่งจะเอาปริญญา ก็ต้องท่องจำไปสอบ แข่งขันกันเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง ซึ่งใช้ระบบคัดเลือกแบบโบราณ คือวัดคนด้านเดียว คือด้านการทำข้อสอบ
  • ทุกวันนี้ การศึกษาจึงกลายเป็นเครื่องมือในการแข่งขัน แทนที่จะจะเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคน
  • ในส่วนของผู้ปกครอง เราจะเห็นผู้ปกครองมากมายที่ต้องทุ่มเทให้ลูกกวดวิชา แย่งกันเข้ามหาวิทยาลัย ทั้งๆ ที่มหาวิทยาลัยในบ้านเรามีมากกว่า 150 แห่ง เพียงพอต่อทุกคน (ยกเว้นบางคณะ)
  • การศึกษาของเรามันเข้าขั้นวิกฤติ จริงๆ ครับ ถ้าเป็นคนไข้ ก็อาการหนัก ความหวังที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงการสอน ดูจะมืดมน
  • ผมเชื่อว่า ถึงแม้จะปรับปรุงหลักสูตรให้ดีอย่างไร ถ้าครูยังไม่สามารถเปลี่ยนการสอนได้ เราก็คงต้องเจอปัญหาสังคมแบบเดิมๆ นั่นคือ 
  • ความรุนแรง ยาเสพติด 
  • การใช้กำลังมากกว่าจะใช้เหตุผล ทุจริต
  • ขาดทักษะในการทำงานร่วมกัน 
  • ทักษะในการใช้ประโยชน์จากความคิดที่แตกต่างกัน 
  • ทักษะในการเรียนรู้ แยกแยะข้อมูล และใฝ่เรียนใฝ่รู้ 
  • นั่นคือปัญหาของประเทศเรา ทั่วโลกต่างหาวิธีการสอนที่เหมาะสมกับเด็กของเขา มีการวิจัยกับเด็กของเขา เช่น PBL problem-based learning, flipped classroom,Strength-based Learning ของนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย , 5STEP ของสิงคโปร์ ฯลฯ ทุกโมเดล มีข้อดีข้อด้อยครับ เหมาะสำหรับบริบทที่แตกต่างกัน
  • ผมคิดว่าประเทศเราก็มีปัญหาของเราจุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาก็เพื่อ แก้ปัญหาของประเทศนั้นๆ คำถามคือ ถ้าเราไปนำของเขามาใช้มันจะดีไหม เหมาะสมกับเราเพียงใด
  • โมเดลสำหรับเด็กไทย คือ CBL Creativity-based learning ซึ่งสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของเรา ปัญหาของเรา และเด็กของเรา การสอนแบบนี้แหละครับ ที่จะสร้างทักษะแห่งอนาคต 
  • นอกจากเด็กจะได้มีความคิดวิเคราะห์ (ซึ่งในการสอนแบบเดิม ก็พัฒนาทักษะนี้อยู่แล้ว) เขายังได้ฝึกฝนทักษะในการสื่อสาร การทำงานเป็นทีม ทักษะในการเรียนรู้ 
  • และที่สำคัญที่สุด คือทักษะในการคิดสร้างสรรค์ ครูจะสนุกและเรียนรู้ไปกับผู้เรียน นักเรียนจะมีความสุขและสนใจใฝ่รู้
  • เด็กที่ได้เรียนไม่ว่าเขาจะจบ ป.4 หรือ ม.3 ไม่ว่าเขาจะได้เรียนต่อในระดับสูงขึ้นไปหรือไม่ แนวทางการสอนแบบนี้ จะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นแน่นอนครับ
  • อยากเปลี่ยนแปลงครับ หลายท่านเรียนรู้และเริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ก็มีครูอาจารย์อีกมากที่เห็นด้วย แต่ยังกังวลกับความยุ่งยาก ที่ต้องเปลี่ยนแปลง
  • ผมเชื่อว่าครูไทยเราส่วนใหญ่ มีจิตวิญญาณของความเป็นครู เราอยากสอนให้เขารู้ แต่ดูเหมือนเขาไม่สนใจเรียน
  • เราสอนเขามากมาย แต่เขาไม่ได้เชื่อฟังสิ่งดีๆ จากเรา ผมคิดว่า ถ้าพวกเราเข้าใจแนวทางการสอนแบบใหม่นี้
  • ความจริงหลายสิ่งที่อาจารย์หลายท่าน ได้สอนอยู่ก็ใกล้เคียงกับ CBL แล้ว เราจะแก้ปัญหาต่างๆ ที่เจออยู่นี้ได้ครับ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น