ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อคของ ณรงค์ฤทธิ์ แสนกรุง โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม วิชาประวัติศาสตร์ ครูชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา

ข่าว

ข่าว

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

ตอนที่ 3 : จะเปลี่ยนเด็ก ต้องเปลี่ยนครู

เขาห้ามผมทำ แต่ไม่ห้ามผมคิด
ตอนที่ 3 : จะเปลี่ยนเด็ก ต้องเปลี่ยนครู

.......................................................

  • ครั้งแรกผมตั้งใจจะใช้ชื่อตอนว่า "จะเปลี่ยนเด็ก ต้องเปลี่ยนทุกอย่างรอบตัวเด็ก" แต่เมื่อไตร่ตรองแล้ว เห็นว่า เป็นคำที่ใหญ่เกินไป และบางเรื่องก็เหนือการควบคุม ก็เลยมาเน้นที่เกี่ยวข้องโดยตรงดีกว่า 
  • ผู้ที่เกี่ยวข้องและส่งผลเป็นอย่างมากต่อเด็ก ก็คือ ผู้ปกครองกับครู เราต้องการให้เด็กๆ ของเรามีความรู้ ความสามารถ และทักษะที่จะอยู่รอด ทักษะการอยู่ร่วม ทักษะในการแข่งขันกับคนอื่นได้ในศตวรรษที่ 21 
  • ผู้ปกครองกับครูก็ต้องเปลี่ยนแปลงด้วย คำว่า "เปลี่ยนครู" ของผมมีความหมายสองนัย 
  • นัยแรก ครูที่ผลิตออกมาใหม่ เพื่อทดแทนครูเก่าที่เกษียณ ต้องผลิตออกมาให้ตรงกับความต้องการ 
  • นัยที่สอง คือ ครูเก่าที่อยู่ในระบบปัจจุบัน ต้องได้รับการพัฒนา เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ผมขอเน้นครูเก่าก่อนก็แล้วกัน 
  • ครูในระบบปัจจุบันต้องได้รับการพัฒนา ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง ที่ผ่านมาเรามีหลายหน่วยงานที่พัฒนาครูประจำการของเราและพัฒนากันอย่างหลากหลายวิธี
  • จากผลการวิจัยเชิงประเมิน พบว่า ถึงแม้ว่าเราพยายามพัฒนาครูด้วยวิธีการที่หลากหลาย จากหลายหน่วยงานแล้วก็ตาม 
  • แต่เราก็ยังพัฒนาได้ไม่ทั่วถึง พัฒนาได้ไม่ตรงตามความต้องการของครู การพัฒนาไม่ส่งผลถึงผู้เรียน การพัฒนาทำให้ครูต้องทิ้งห้องเรียน 
  • การพัฒนาไม่ยึดสมรรถนะ เน้นทฤษฎีมากกว่าปฏิบัติ รูปแบบการพัฒนายังใช้รูปแบบเดิม ๆ ไม่มีนวัตกรรมที่จะช่วยทำให้ครูประยุกต์ใช้ความรู้ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสอนได้ 
  • และแล้วสิ่งที่ฝันไว้ เมื่อ 10 กว่าปีก่อนก็บังเกิดขึ้น นั่นคือ คูปองพัฒนาครู เราเคยฝันว่าในแต่ละปี ครูจะได้รับเงินก้อนหนึ่ง สำหรับพัฒนาตนเองตามสมรรถนะที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาตนเองรายบุคคล 
  • วิธีการพัฒนาทำได้หลากหลายรูปแบบ อาจเข้ารับการอบรม สัมมนา ประชุมปฏิบัติการ เดินทางไปศึกษาดูงาน หรือแม้กระทั่งศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยการซื้อหาตำรามาอ่านก็ทำได้ 
  • สรุปว่า ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ตนเองมีความรู้ความสามารถ และคุณลักษณะตรงตามสมรรถนะของครูมืออาชีพที่กำหนดไว้

  • ขณะนี้ สพฐ. ได้จัดทำโครงการนำร่องคูปองพัฒนาครู โดยลงนามในข้อตกลงกับมหาวิทยาลัย 48 มหาวิทยาลัย และ สสวท. 
  • กำหนดเป้าหมายในการพัฒนาครูไว้ 7,000 คน ใช้งบประมาณ 35 ล้านบาท สำหรับวิธีดำเนินการนั้น จะพัฒนาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School - Based Developing Unit) 
  • ที่เน้นการสอนงาน (Coaching) และระบบพี่เลี้ยง (Mentoring) ในการปฏิบัติงานจริง (On the job Training) 
  • ลักษณะการใช้งบประมาณ ก็คือ ครู 1 คน จะได้รับงบประมาณ คนละ 5,000 บาท จ่ายเป็นค่าลงทะเบียนแก่มหาวิทยาลัย 3,500 บาท ค่าพาหนะเดินทางสำหรับครู 1,500 บาท

  • ผมเสียดาย 2 อย่าง อย่างแรก คูปองพัฒนาครูไม่ไปถึงจุดหมายสุดๆ ที่ใฝ่ฝันไว้ อย่างที่สอง เสียดายที่มหาวิทยาลัยจะมีเวลาดำเนินการเพียง 2 เดือน (สิงหาคม - กันยายน 2558) 
  • จะเอาเวลาที่ไหนไป coach ไป mentor ถ้าเริ่มตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ อะไรๆ คงดีกว่านี้ 
  • ข้อเสนอของผมก็คือ เจ้าของโครงการที่ สพฐ. ต้องทำเรื่องเสนอขอกันเงินงบประมาณไปจนถึงเดือนมีนาคม 2559 ดีกว่า 
  • เราจะได้ไม่ต้องเร่งรีบใช้งบประมาณกันจนไม่ได้อะไรตามที่อยากได้ อย่าบอกนะว่าทำไม่ได้ รัฐธรรมนูญยังแก้ได้เลย 
  • สำหรับคุณครูที่ยังไม่ได้เข้าโครงการดังกล่าวก็ไม่ต้องน้อยใจเราก็สามารถพัฒนาตนเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร พยายามตอบโจทย์เหล่านี้ให้ได้ก็พอ

1. เด็กที่ต้องการในศตวรรษที่ 21 มีลักษณะอย่างไร
2. เราจะจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างไรให้เด็กเกิดลักษณะดังกล่าว
3. รู้ได้อย่างไรว่าเด็กเกิดลักษณะดังกล่าวแล้ว
4. เราจะดูแลช่วยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษได้อย่างไร
  • ตอนนี้ค่อนข้างยาวหน่อย เวลาคุยเรื่องคุณครูแล้ว รู้สึกสนุก คงพอแค่นี้ก่อนนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น