ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อคของ ณรงค์ฤทธิ์ แสนกรุง โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม วิชาประวัติศาสตร์ ครูชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา

ข่าว

ข่าว

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

วิธีการสอนแบบดั้งเดิม


วิธีการสอนแบบดั้งเดิม

         การเรียนการสอนด้วยวิธีการ “เล่าเรื่อง” โดยคุณครู ที่พวกเราเรียกกันคุ้นเคยว่า เลคเช่อร์ (Lecture) เป็นวิธีการสอนที่ทำกันมาเนิ่นนาน จนกระทั่งทุกวันนี้
         ครู อาจารย์ส่วนใหญ่ในสถาบันการศึกษาทั่วโลก ก็ยังคงสอนแบบนี้กันครับ วิธีการสอนแบบดั้งเดิม (Traditional learning approach) นี้มีข้อดีหลายอย่างเช่น

    1..เป็นวิธีที่คุณครูคุ้นเคย เพราะทุกคนต่างก็เรียนมาด้วยวิธีการสอนแบบนี้       

    2. คุณครูที่มีประสบการณ์สอนแค่เพียงปีเดียว ก็ไม่ต้องเตรียมการสอนใหม่ เพราะเรื่องราวที่สอนก็คือเรื่องราวที่เคยเรียนมา ถ้ามีการปรับปรุงหลักสูตรก็มักเป็นแค่ย้ายเนื้อหาจากบทหน้าไปไว้หลัง หรืออาจมีการเพิ่มเติม ตัดทอน เนื้อหา ซึ่งก็ไม่ได้สร้างความยุ่งยากใดๆ ในการสอน
    3. การสอนแบบนี้ สามารถสอนนักเรียนนักศึกษาได้ครั้งละหลายคน เพราะเป็นการบรรยาย จะเรียนพร้อมกันห้องละ 50 คนหรือ 500 คนก็ไม่ได้ต่างกัน
    4. สามารถบันทึกการสอนแล้วนำไปเผยแพร่ให้ผู้เรียนได้ทางสื่อต่างๆ เช่น วีดีโอ ยูทูบ podcast
    5. การวัดผลก็ง่าย เพราะเป็นการวัดว่าผู้ที่เรียนจดจำเนื้อหาที่ได้เรียนไปแล้วได้มากเพียงใด เข้าใจวิธีการแก้ปัญหาโจทย์แบบที่สอนไปแล้วหรือไม่
    6. ด้วยการวัดผลแบบนี้ จึงทำให้การให้คะแนน-ตัดเกรดทำได้ง่าย รวดเร็ว ชัดเจน และเป็นธรรม (ถ้าไม่มีการลอกกัน หรือข้อสอบรั่ว) วิธีการสอนแบบดั้งเดิมนี้ดูแล้วก็เป็นวิธีที่ดีในการถ่ายทอดความรู้นะครับ....

        แต่ว่าโลกเราเปลี่ยนแปลงไปมากในด้านข้อมูลความรู้ เมื่อก่อน ข้อมูลต่างๆ มีไม่มาก นักการศึกษาและครูก็คัดสรรข้อมูลมาทำเป็นหลักสูตรดีๆ ให้นักเรียนนักศึกษาเรียนแค่นั้นก็เพียงพอ


        เดี๋ยวนี้ข้อมูลมีมากมาย เข้าถึงได้ง่ายเพราะเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็วและที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ข้อมูลความรู้ทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและยังมีข้อมูลมากมายที่ไม่ต้องหามันก็วิ่งมาหาลูกหลานของเราผ่านทางสื่อต่างเช่น WWW Facebook SMS


        ในขณะที่การเรียนแบบเดิม เราเน้นให้เด็กเชื่อ การเรียนแบบใหม่จึงต้องการให้เด็กคิด


การเรียนแบบเดิม

  • การเรียนแบบเดิม เด็กมีความรู้แค่ตำรา 
  • การเรียนแบบใหม่ จึงต้องเน้นให้ค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง
  • การเรียนแบบเดิม เน้นให้เด็กจำ 
  • การเรียนแบบใหม่ อยากให้เด็กมีทักษะในการเรียนรู้
  • คือต้องแยกแยะข้อมูลได้
  • อะไรเป็นความคิดเห็น 
  • อะไรเป็นข้อเท็จจริง 
  • อะไรมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน 
  • ซึ่งทักษะในการเรียนรู้แบบนี้ จะได้มาจากรูปแบบการสอนที่ต่างจากเดิมครับ

การเปลี่ยนแปลงการสอน


การเปลี่ยนแปลงการสอน
  • เราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงการสอน ไปในแนวทางผู้เรียนเป็นสำคัญ แต่ทุกวันนี้ ครูส่วนใหญ่ยังทำการสอน แบบผู้เรียนเป็นสำคัญไม่ได้ เพราะอุปสรรคต่างๆ มากมาย
  • ทั้งปัญหาจำนวนนักเรียนต่อห้อง คาบการสอนที่สั้นเกินกว่าจะฝึกทักษะเด็ก การบูรณาการวิชาต่างๆ ก็ยังมีการทำกันได้น้อยมาก
  • แม้จะมีความตั้งใจ แต่เวลาของครูเรา ยังต้องมาหมดไปกับการทำรายงานส่ง สมศ.ต้องมาทำงานวิจัยเพื่อเลื่อนวิทยฐานะ ต้องเตรียมรับการประเมินผล และล่าสุดต้องมาเร่งให้เด็กสอบโอเนตได้คะแนนมากๆ
  • ส่วนเด็กนักเรียนระดับประถม ต้องเรียน 8 สาระการเรียนรู้ หนักเลยครับ จากเด็กร่าเริง สนุกสนาน ต้องกลายเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนข้อมูลตั้งแต่เช้าจรดเย็น ใครรับได้ ก็กลายเป็นเด็กเรียนเก่ง ส่วนใครไม่ชอบก็กลายเป็นเด็กไม่รักเรียน เด็กเกเร
  • เด็ก 70% ของเราไม่ได้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษาหรอกครับ และสิ่งที่เขาได้รับจากระบบการศึกษาแบบเดิมนี้ คือ การถูกประเมินว่า “ไม่เก่ง” “เรียนแย่”และเมื่อเขาต้องออกจากระบบโรงเรียนเขาก็ไม่สามารถใช้วิชาต่างๆ ที่เขาต้องใช้เวลาเรียนมามากมาย มาเพื่อพัฒนาชีวิตเขา
  • สำหรับเด็กอีก 30% ที่มุ่งจะเอาปริญญา ก็ต้องท่องจำไปสอบ แข่งขันกันเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง ซึ่งใช้ระบบคัดเลือกแบบโบราณ คือวัดคนด้านเดียว คือด้านการทำข้อสอบ
  • ทุกวันนี้ การศึกษาจึงกลายเป็นเครื่องมือในการแข่งขัน แทนที่จะจะเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคน
  • ในส่วนของผู้ปกครอง เราจะเห็นผู้ปกครองมากมายที่ต้องทุ่มเทให้ลูกกวดวิชา แย่งกันเข้ามหาวิทยาลัย ทั้งๆ ที่มหาวิทยาลัยในบ้านเรามีมากกว่า 150 แห่ง เพียงพอต่อทุกคน (ยกเว้นบางคณะ)
  • การศึกษาของเรามันเข้าขั้นวิกฤติ จริงๆ ครับ ถ้าเป็นคนไข้ ก็อาการหนัก ความหวังที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงการสอน ดูจะมืดมน
  • ผมเชื่อว่า ถึงแม้จะปรับปรุงหลักสูตรให้ดีอย่างไร ถ้าครูยังไม่สามารถเปลี่ยนการสอนได้ เราก็คงต้องเจอปัญหาสังคมแบบเดิมๆ นั่นคือ 
  • ความรุนแรง ยาเสพติด 
  • การใช้กำลังมากกว่าจะใช้เหตุผล ทุจริต
  • ขาดทักษะในการทำงานร่วมกัน 
  • ทักษะในการใช้ประโยชน์จากความคิดที่แตกต่างกัน 
  • ทักษะในการเรียนรู้ แยกแยะข้อมูล และใฝ่เรียนใฝ่รู้ 
  • นั่นคือปัญหาของประเทศเรา ทั่วโลกต่างหาวิธีการสอนที่เหมาะสมกับเด็กของเขา มีการวิจัยกับเด็กของเขา เช่น PBL problem-based learning, flipped classroom,Strength-based Learning ของนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย , 5STEP ของสิงคโปร์ ฯลฯ ทุกโมเดล มีข้อดีข้อด้อยครับ เหมาะสำหรับบริบทที่แตกต่างกัน
  • ผมคิดว่าประเทศเราก็มีปัญหาของเราจุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาก็เพื่อ แก้ปัญหาของประเทศนั้นๆ คำถามคือ ถ้าเราไปนำของเขามาใช้มันจะดีไหม เหมาะสมกับเราเพียงใด
  • โมเดลสำหรับเด็กไทย คือ CBL Creativity-based learning ซึ่งสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของเรา ปัญหาของเรา และเด็กของเรา การสอนแบบนี้แหละครับ ที่จะสร้างทักษะแห่งอนาคต 
  • นอกจากเด็กจะได้มีความคิดวิเคราะห์ (ซึ่งในการสอนแบบเดิม ก็พัฒนาทักษะนี้อยู่แล้ว) เขายังได้ฝึกฝนทักษะในการสื่อสาร การทำงานเป็นทีม ทักษะในการเรียนรู้ 
  • และที่สำคัญที่สุด คือทักษะในการคิดสร้างสรรค์ ครูจะสนุกและเรียนรู้ไปกับผู้เรียน นักเรียนจะมีความสุขและสนใจใฝ่รู้
  • เด็กที่ได้เรียนไม่ว่าเขาจะจบ ป.4 หรือ ม.3 ไม่ว่าเขาจะได้เรียนต่อในระดับสูงขึ้นไปหรือไม่ แนวทางการสอนแบบนี้ จะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นแน่นอนครับ
  • อยากเปลี่ยนแปลงครับ หลายท่านเรียนรู้และเริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ก็มีครูอาจารย์อีกมากที่เห็นด้วย แต่ยังกังวลกับความยุ่งยาก ที่ต้องเปลี่ยนแปลง
  • ผมเชื่อว่าครูไทยเราส่วนใหญ่ มีจิตวิญญาณของความเป็นครู เราอยากสอนให้เขารู้ แต่ดูเหมือนเขาไม่สนใจเรียน
  • เราสอนเขามากมาย แต่เขาไม่ได้เชื่อฟังสิ่งดีๆ จากเรา ผมคิดว่า ถ้าพวกเราเข้าใจแนวทางการสอนแบบใหม่นี้
  • ความจริงหลายสิ่งที่อาจารย์หลายท่าน ได้สอนอยู่ก็ใกล้เคียงกับ CBL แล้ว เราจะแก้ปัญหาต่างๆ ที่เจออยู่นี้ได้ครับ 

จากใจผู้บริหาร

จากใจผู้บริหาร

        ที่มองคุณสมบัติของน้องๆ ที่จะมาร่วมทำงานที่บริษัท คงไม่น่าจะเป็นบริษัทผมอย่างเดียวมีดังนี้

.....1 ส่วนตัวไม่สนผลสอบโอเน็ต พีเน็ต บ้าบออะไรนั่นมันไม่ได้บอกว่าน้องเก่งอะไร แม้เพียงนิด มันอยู่ที่สมัครทำงานอะไรแอบเซ็งแทน

.....2 ขอให้เป็น excel , word มันช่วยงานให้ง่ายขึ้นมาก ไม่ต้องไปกวนคนอื่น ถ้าไม่เป็นเลยนี่ผมมึน และชีวิตน้องจะลำบาก

.....3 ถ้าน้องมาฟังคำสั่งอย่างเดียว ไม่เคยเสนอทางออกใหม่ นำเสนอสิ่งใหม่ๆให้องค์กร น้องไม่มีวันก้าวหน้า ฝึกความเป็นผู้นำไว้ร่วมกิจกรรมต่างๆด้วย

.....4 ผลการเรียนกับความเก่งในการทำงานคนละเรื่อง สอบได้ 4 จบเมืองนอก แต่เป็นใบ้ในที่ทำงาน จะไม่มีใครได้ประโยชน์

.....5 ถ้าสถาบันที่น้องเรียนยังไม่ช่วยทำให้น้องรู้สึกเก่งขึ้น จงขวนขวายเพิ่มเติมเอง เพื่อตัวเองนะจ๊ะ

.....6 การเรียนรู้เพื่อออกไปประกอบอาชีพ สถาบันการศึกษามีส่วนช่วยได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด น้องต้องฝึกตัวเอง แล้วจะทำข้อสอบตอนสัมภาษณ์ได้ดี ตอบฉะฉาน

.....7 ผู้สัมภาษณ์จะทึ่งน้องๆ ไม่ใช่ผลสอบจากสถาบัน แต่อยู่ที่ผลทดสอบหลายอย่าง และตัวตัดสินน้องคือการตอบคำถามอย่างชาญฉลาด

.....8 อย่ารอปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย มันอีกนาน ปฏิรูปตนเองก่อนเพื่อความสำเร็จ

.....9 อย่าฝันสูงถ้าตนเองเฉื่อยแฉะ แล้วเที่ยวหวังคนอื่นมาป้อนข้าวป้อนน้ำ ชีวิตจริงการทำงานไม่มีเช่นนั้นดอก

.....10 ปัจจุบันนี้โลกจะก้าวหน้าเร็วมากกว่าอดีตมากมาย ถ้าน้องยังอยู่ยุค 2475 คนที่ลำบากคือน้องเอง อยากสำเร็จต้องพึ่งตนเองนะจ๊ะครับ

.......สุดท้ายพึงระลึกเสมอว่าคนในองค์กรมีความหลากหลาย ไม่มีองค์กรใด perfect เขาจึงอยากได้น้องมาเติมเต็มปฏิรูปตนเองวันนี้
......อย่ารอประเทศปฏิรูปเรื่องการศึกษา ให้น้องๆ มันจะช้าไป

ด้วยรัก
สยามอยากได้คนเก่ง
ไม่สนโอ-ยูเน็ต

ตอนที่ 3 : จะเปลี่ยนเด็ก ต้องเปลี่ยนครู

เขาห้ามผมทำ แต่ไม่ห้ามผมคิด
ตอนที่ 3 : จะเปลี่ยนเด็ก ต้องเปลี่ยนครู

.......................................................

  • ครั้งแรกผมตั้งใจจะใช้ชื่อตอนว่า "จะเปลี่ยนเด็ก ต้องเปลี่ยนทุกอย่างรอบตัวเด็ก" แต่เมื่อไตร่ตรองแล้ว เห็นว่า เป็นคำที่ใหญ่เกินไป และบางเรื่องก็เหนือการควบคุม ก็เลยมาเน้นที่เกี่ยวข้องโดยตรงดีกว่า 
  • ผู้ที่เกี่ยวข้องและส่งผลเป็นอย่างมากต่อเด็ก ก็คือ ผู้ปกครองกับครู เราต้องการให้เด็กๆ ของเรามีความรู้ ความสามารถ และทักษะที่จะอยู่รอด ทักษะการอยู่ร่วม ทักษะในการแข่งขันกับคนอื่นได้ในศตวรรษที่ 21 
  • ผู้ปกครองกับครูก็ต้องเปลี่ยนแปลงด้วย คำว่า "เปลี่ยนครู" ของผมมีความหมายสองนัย 
  • นัยแรก ครูที่ผลิตออกมาใหม่ เพื่อทดแทนครูเก่าที่เกษียณ ต้องผลิตออกมาให้ตรงกับความต้องการ 
  • นัยที่สอง คือ ครูเก่าที่อยู่ในระบบปัจจุบัน ต้องได้รับการพัฒนา เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ผมขอเน้นครูเก่าก่อนก็แล้วกัน 
  • ครูในระบบปัจจุบันต้องได้รับการพัฒนา ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง ที่ผ่านมาเรามีหลายหน่วยงานที่พัฒนาครูประจำการของเราและพัฒนากันอย่างหลากหลายวิธี
  • จากผลการวิจัยเชิงประเมิน พบว่า ถึงแม้ว่าเราพยายามพัฒนาครูด้วยวิธีการที่หลากหลาย จากหลายหน่วยงานแล้วก็ตาม 
  • แต่เราก็ยังพัฒนาได้ไม่ทั่วถึง พัฒนาได้ไม่ตรงตามความต้องการของครู การพัฒนาไม่ส่งผลถึงผู้เรียน การพัฒนาทำให้ครูต้องทิ้งห้องเรียน 
  • การพัฒนาไม่ยึดสมรรถนะ เน้นทฤษฎีมากกว่าปฏิบัติ รูปแบบการพัฒนายังใช้รูปแบบเดิม ๆ ไม่มีนวัตกรรมที่จะช่วยทำให้ครูประยุกต์ใช้ความรู้ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสอนได้ 
  • และแล้วสิ่งที่ฝันไว้ เมื่อ 10 กว่าปีก่อนก็บังเกิดขึ้น นั่นคือ คูปองพัฒนาครู เราเคยฝันว่าในแต่ละปี ครูจะได้รับเงินก้อนหนึ่ง สำหรับพัฒนาตนเองตามสมรรถนะที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาตนเองรายบุคคล 
  • วิธีการพัฒนาทำได้หลากหลายรูปแบบ อาจเข้ารับการอบรม สัมมนา ประชุมปฏิบัติการ เดินทางไปศึกษาดูงาน หรือแม้กระทั่งศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยการซื้อหาตำรามาอ่านก็ทำได้ 
  • สรุปว่า ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ตนเองมีความรู้ความสามารถ และคุณลักษณะตรงตามสมรรถนะของครูมืออาชีพที่กำหนดไว้

  • ขณะนี้ สพฐ. ได้จัดทำโครงการนำร่องคูปองพัฒนาครู โดยลงนามในข้อตกลงกับมหาวิทยาลัย 48 มหาวิทยาลัย และ สสวท. 
  • กำหนดเป้าหมายในการพัฒนาครูไว้ 7,000 คน ใช้งบประมาณ 35 ล้านบาท สำหรับวิธีดำเนินการนั้น จะพัฒนาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School - Based Developing Unit) 
  • ที่เน้นการสอนงาน (Coaching) และระบบพี่เลี้ยง (Mentoring) ในการปฏิบัติงานจริง (On the job Training) 
  • ลักษณะการใช้งบประมาณ ก็คือ ครู 1 คน จะได้รับงบประมาณ คนละ 5,000 บาท จ่ายเป็นค่าลงทะเบียนแก่มหาวิทยาลัย 3,500 บาท ค่าพาหนะเดินทางสำหรับครู 1,500 บาท

  • ผมเสียดาย 2 อย่าง อย่างแรก คูปองพัฒนาครูไม่ไปถึงจุดหมายสุดๆ ที่ใฝ่ฝันไว้ อย่างที่สอง เสียดายที่มหาวิทยาลัยจะมีเวลาดำเนินการเพียง 2 เดือน (สิงหาคม - กันยายน 2558) 
  • จะเอาเวลาที่ไหนไป coach ไป mentor ถ้าเริ่มตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ อะไรๆ คงดีกว่านี้ 
  • ข้อเสนอของผมก็คือ เจ้าของโครงการที่ สพฐ. ต้องทำเรื่องเสนอขอกันเงินงบประมาณไปจนถึงเดือนมีนาคม 2559 ดีกว่า 
  • เราจะได้ไม่ต้องเร่งรีบใช้งบประมาณกันจนไม่ได้อะไรตามที่อยากได้ อย่าบอกนะว่าทำไม่ได้ รัฐธรรมนูญยังแก้ได้เลย 
  • สำหรับคุณครูที่ยังไม่ได้เข้าโครงการดังกล่าวก็ไม่ต้องน้อยใจเราก็สามารถพัฒนาตนเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร พยายามตอบโจทย์เหล่านี้ให้ได้ก็พอ

1. เด็กที่ต้องการในศตวรรษที่ 21 มีลักษณะอย่างไร
2. เราจะจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างไรให้เด็กเกิดลักษณะดังกล่าว
3. รู้ได้อย่างไรว่าเด็กเกิดลักษณะดังกล่าวแล้ว
4. เราจะดูแลช่วยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษได้อย่างไร
  • ตอนนี้ค่อนข้างยาวหน่อย เวลาคุยเรื่องคุณครูแล้ว รู้สึกสนุก คงพอแค่นี้ก่อนนะครับ

แก่นแท้ที่เราต้องการ


แก่นแท้ที่เราต้องการ
  • อาชีพใหม่ๆที่เกิดขึ้นตลอดเวลาเป็นอาชีพที่ต่างจากที่เราเห็น และที่สำคัญเป็นอาชีพที่หางานง่าย รายได้สูง บางอาชีพเป็นอาชีพ ที่มหาวิทยาลัยยังไม่เปิดสอน
  • อาชีพเหล่านี้ นอกจากจะต้องการความรู้พื้นฐานที่เรียนในมหาวิทยาลัยแล้วยังต้องการคน ที่มีทักษะที่สำคัญอีก เช่น  ทักษะ ในการสื่อสาร ทักษะในการทำงานเป็นทีม และที่สำคัญทักษะในการคิดสร้างสรรค์
  • นี่แหละครับตัวการใหญ่ที่ทำให้ชาวโลกต้องหันมาชักชวนเชื้อเชิญ ให้บรรดาครูอาจารย์ปรับเปลี่ยนการสอน
  • เพราะถ้ายังสอนกันอยู่แบบเดิม คนเดือดร้อนคือลูกศิษย์เรานี่แหละครับ เพราะเขาต้องออกไปเผชิญกับสังคมสภาพแวด ล้อม ที่ต่างจากที่เราเคยเห็นและเป็นมา
  • ทักษะที่นักเรียนนักศึกษาของเรายังพอหาได้จากการทำกิจกรรมหรือทำงานกลุ่ม คือทักษะในการสื่อสารและทักษะในการทำงานเป็นทีม
  • ดังนั้น จะเห็นได้จากเด็กที่เรียนไม่เก่งแต่ประสบความสำเร็จในการทำงานมีอยู่เยอะแยะเด็กพวกนี้มักเป็นเด็กกิจกรรมครับ
  • แต่ทักษะของความคิดสร้างสรรค์นี้บ้านเรามีน้อยจริงๆ เพราะความคิดสร้างสรรค์เกิดจาก "ความแตกต่าง"
  • ในขณะที่การศึกษาบ้านเรา เน้นให้เด็กทุกคนเหมือนกันแต่งตัวเหมือนกัน ตัดผมเหมือนกัน เรียนวิชาเดียวกัน ทำข้อสอบชุดเดียวกัน และต้องตอบข้อเดียวกัน
  • เด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์ จะกลายเป็นเด็กที่เรียนไม่เก่ง เมื่อเรียนในระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม หลายคนถูกคุณครูพิจารณาว่า“โง่ เกินกว่าจะเรียน” 
  • คุณ โทมัส แอลวา เอดิสัน นักคิดระดับโลก ก็ต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้นประถม เพราะครูแนะนำให้ไปเรียนในโรงเรียนพิเศษ ที่สอนเด็กสมาธิสั้น
  • เมื่อก่อนเราแยกแยะไม่ออกระหว่างเด็กเรียนเก่ง กับเด็กคิดเก่ง และไม่รู้จักเรื่องราวของความคิดสร้างสรรค์กันหรอกครับ
  • จนกระทั่งประมาณ 50 ปีที่แล้ว นักจิตวิทยา ชื่อดัง อาจารย์ Torrance ได้ทำการวิจัยเพื่อยืนยันว่าความคิดสร้างสรรค์มีความสำคัญเท่าเทียมกับความคิดเชิงวิเคราะห์ และยังยืนยันว่า ความคิดสร้างสรรค์จำเป็นสำหรับคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสถาปนิก แพทย์ วิศวกร ตำรวจ หรือแม่บ้าน
  • มาถึงวันนี้ เป็นที่ชัดเจนว่า ทุกสาขาอาชีพต้องการคนที่มีทักษะในการคิดสร้างสรรค์
  • แต่ปัญหาคือ การศึกษาแบบบอกเล่า และการสอบแบบท่องจำ นอกจากจะไม่ช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์แล้ว ยังเป็นการทำลายมันอีกด้วย
  • หลายประเทศในโลก จึงได้ใช้ความพยายาม เพื่อที่จะให้คุณครูปรับเปลี่ยนการสอน เพื่อสร้างให้ผู้เรียนได้มีทักษะที่สำคัญเหล่านี้
  • โดยเฉพาะอเมริกา ต้นแบบการศึกษาที่เราไปลอกเขามาใช้นี่แหละครับ อยู่ในช่วงปวดหัวกับการจูงใจครูให้เปลี่ยนรูปแบบการสอน
  • ล่าสุดได้มีการนำเสนอ “21st century skills” จากการรวบรวมแนวคิด ของนักการศึกษาระดับแนวหน้าของอเมริกา เพื่อเป็นแนวทางในการเปลี่ยนแปลงการสอนอย่างจริงจัง
  • ความจริงแล้ว เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา ไทยเราเองก็ทำการปฏิรูปการศึกษา จากแนวคิดของนักการศึกษาไทย ซึ่งเป็นแนวคิดที่ชัดเจน และดีมากๆ ครับ
  • แต่จากวันนั้นถึงวันนี้ เรามีการเปลี่ยนแค่เปลือก คือเปลี่ยนแค่โครงสร้างต่างๆ เช่น เปลี่ยนครูใหญ่เป็นผู้อำนวยการแต่ผู้อำนวยการก็ยังต้องรอคำสั่งจากกระทรวงเหมือนเดิม
  • เรามีการจัดตั้งสถาบันทางการทดสอบแห่งชาติแต่ สทศ.ก็กลายเป็นองค์กรออกข้อสอบคัดเด็กเข้ามหาวิทยาลัย เรามีการจัดตั้ง สมศ. (สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา) ซึ่งกลายเป็นปัญหากระดาษล้นโรงเรียน
  • ส่วนแก่นแท้ที่เราต้องการจริงๆ คือ การเปลี่ยนแปลงการสอนครูของเรา ส่วนใหญ่ยังคงสอนแบบเดิมครับ

การจัดการศึกษาและดูแลเด็ก เยาวชน Gen Z



การจัดการศึกษาและดูแลเด็ก เยาวชน Gen Z
-----------------------------------------------------------
........ผู้ที่เกิดหลังปี 1994 ซึ่งเป็นปีที่เริ่มมีเวิร์ลไวด์เว็บ อินเทอร์เน็ตเบ่งบูม
........ข้อมูลดิจิทัล เข้ามาแทน (substitute) กระดาษและหนังสือ
........ก่อให้เกิดแหล่งความรู้เก็บสะสมบนคลาวด์ Cloud มากมายมหาศาล
-----------------------------------------------------------
........ผู้ที่เกิดในยุคนี้ จึงเรียกว่า ดิจิทัลเนทีฟ Digital native หรือ Gen Z
........เป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการใช้ดิจิทัลได้เองโดยไม่ต้องมีใครสอน
........ผูกพันและถนัดในการใช้เครื่องมือสมัยใหม่ ทั้งแท็บเบล็ต สมาร์ทโฟน
........มีอากู๋เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว มีเพื่อนผ่านทางเครือข่ายสังคม
-----------------------------------------------------------
........ลักษณะเด่นของพวก Gen Z คุ้นเคยกับการใช้งานแบบมัลติทาสก์
........เพราะต้องเปิดหลายๆ วินโดว์ในการทำงาน
........ทำงานหลายอย่างเวลาเดียวกันได้ มีการสื่อสารออนไลน์ และเครือข่ายสังคม
........สื่ออารมณ์ด้วยตัวหนังสือ อีโมติคอนและสติกเกอร์
........มีการอวตารเป็นอาวาร์ตาร์ได้หลายตัว ไม่ชอบจดจำ
........แต่เก็บความจำไว้บนคลาวด์ มีจินตภาพดี
........ไม่ชอบอ่านหนังสือ หรือลงรายละเอียด
........มีความอดทนต่ำ รอคอยอะไรนานไม่ได้ สมาธิสั้น ฯลฯ
-----------------------------------------------------------
........การจัดการเรียนการสอนจึงต้องเปลี่ยนไปจากเดิม
........ครูใช้วิธีการสอนแบบเดิม แบบเล็กเชอร์ไม่ได้ผล
........กระบวนการต้องจัดให้ลงมือทำ และเรียนรู้แบบย้อนทาง
........ต้องให้แอกตีฟ และเรียนตามความสนใจให้มากขึ้น
........เป้าหมายของการเรียนรู้มิใช่ตัวความรู้อีกต่อไป
........เพราะตัวความรู้นั้นมีมายมายมหาศาล เกินกว่าที่จะสอนให้นักเรียนแต่ละชั้นปีได้
........นักเรียนในยุคใหม่มีหนทางค้นหาความรู้ด้วยตนเอง(จากก้อนเมฆ)
-----------------------------------------------------------
........เดิมเป็นการศึกษาแบบทางเดียว one-way learning
........เพื่อตอบสนอง manufacturing-based economy
........จัดการศึกษาแบบ mass มาสู่ยุค digital technology
........ยุคออนไลน์ interactive environment
........การเรียนรู้จาก Cloud knowledge
........ตอบสนอง Digital economy
........โดยเปลี่ยนผ่านการเรียนแบบ Work sheets, passive learning and lecture-based teaching
........ไปสู่ Active learning
........เป็นการศึกษาผ่านระบบเปิด open มากขึ้น

ตอนที่1: การลดภาระครู

เขาห้ามผมทำ แต่ไม่ห้ามผมคิด
ตอนที่1: การลดภาระครู

  • คงไม่มีใครปฏิเสธนะครับว่าครูมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะพัฒนานักเรียน ให้เป็นคนดี คนเก่งและอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข 
  • แต่ที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างมากก็คือ ในปัจจุบันนี้ครูส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในโรงเรียนขนาดเล็ก สอนได้ไม่เต็มเวลา ไม่เต็มศักยภาพและไม่เต็มหลักสูตร 
  • ผมไม่ได้หมายความว่าครูของเราไม่ยอมสอน แต่ครูของเราต้องไปปฏิบัติหน้าที่อื่นที่ไม่ใช่งานสอน อันเนื่องมาจากโรงเรียนเป็นนิติบุคคล 
  • ใช่ครับ โรงเรียนต้องทำทุกอย่างเพราะเป็นนิติบุคคล แต่ครูไม่ต้องทำทุกอย่างครับ ครูต้องสอนอย่างเดียว 
  • งานธุรการ การเงิน พัสดุ งานแนะแนว งานทะเบียน วัดผล ต้องมีผู้มาทำหน้าที่แทนครู และต้องเป็นตำแหน่งที่ถาวร มีเส้นทางเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ ไม่ใช่เป็นอัตราจ้าง 
  • เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในอดีตเราก็เคยมี นั่นก็คือ ครูสาย ส (สายสนับสนุนการสอน) นั่นเอง

  • เริ่มต้นโดยการนำภาระงานทั้งหมดของโรงเรียน ทั้งงานสอนและไม่ใช่งานสอนที่ ต้องทำตลอดปีมาคิดเวลาว่าต้องใช้เวลาทำกี่ชั่วโมง 
  • งานของโรงเรียนบางครั้งต้องทำเลยเวลาราชการ ทำในวันหยุด ทำในวันปิดภาคเรียน ต้องนำมาคิดทั้งหมด 
  • แล้วนำมาคิดเป็นเวลาและจำนวนคนปฏิบัติงานรายวัน เช่น โรงเรียนแห่งหนึ่ง มีงานที่ต้องใช้เวลาทำทั้งหมด 96 ชั่วโมงใน 1 วัน เป็นงานสอน 80 ชั่วโมง งานอื่นที่ไม่ใช่งานสอน 16 ชั่วโมง 
  • ดังนั้น โรงเรียนนี้ต้องมีครู 10 คน ครูสายสนับสนุน 2 คน เพราะคนหนึ่งทำงานวันละ 8 ชั่วโมง เป็นต้น 
  • ท่านที่สนใจเรื่องนี้ อ่านเพิ่มเติมได้ในเรื่อง Full Time Equivalent (FTE) เพิ่มเติมครับ คงต้องร่วมมือกันครับ ระหว่างผู้ที่ต้องการใช้อัตรากำลังแบบนี้ (สพฐ.) และผู้ให้ความเห็นชอบ(ก.ค.ศ.) ทำเลยครับ ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งมีคุณต่อวงการศึกษาเท่านั้น

วิถีแห่งครูยุคใหม่


ทางก้าวสู่ครูยุคใหม่

ทางก้าวสู่ครูยุคใหม่- ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองเสมอ
.......แนวทางที่จะเป็นครูยุคใหม่นั้นควรทำอย่างไร ในฐานะที่อยู่ในวงการครูมานาน(พอสมควร) 
.......ลักษณะของครูยุคใหม่ จะเห็นได้ว่าครูยุคใหม่  ก็คือครูธรรมดาที่ไม่ใช่ธรรมดา  
.......เพราะครูยุคใหม่จะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองอยู่เสมอ
  -----------------------------------------------------------------------
.......ซึ่งแม้จะเป็นครูเก่า ครูแก่ ที่รับราชการครูมานานแล้ว ก็สามารถพัฒนาตนเองให้เป็น  “ครูยุคใหม่”  ได้  
.......เพียงแต่ท่านเปลี่ยนแปลง หรือพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง และปรับปรุงตนเองเท่านั้น 
.......หากท่านไม่เปลี่ยนแปลง หรือไม่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง ที่มี มาอย่างรอบด้าน 
.......และไม่ปรับตนเอง  ท่านก็ไม่อาจเรียกได้ว่า เป็น  “ครูยุคใหม่” ตามนัยที่กล่าวข้างต้น
-----------------------------------------------------------------------
.......ปัจจุบันนี้มีวงการศึกษา  โดยเฉพาะในวงการครูกำลังตื่นตัว ในเรื่องการปฏิรูปการศึกษา(รอบสอง) เป็นอย่างมาก  
.......เพราะแต่ละเขตพื้นการศึกษา ที่จัดให้มีการอบรมสัมมนาครูกันอย่างกว้างขวาง มีการจัดสอบความรู้ครู 
.......เพื่อนำผู้ที่ได้คะแนนมาก ไปพัฒนาเป็น “ครูมาตรฐาน”  หรือที่เรียกว่า  “Master  teacher” 
.......ล่าสุดกระทรวงศึกษาธิการ จัดให้มีการสอบความรู้ครู ผ่านอินเทอร์เน็ตที่เรียก ว่า  “E-TRAINIG”  
.......ซึ่งเป็นการบังคับครูไปในตัว ว่าครูจะต้องใช้คอมพิวเตอร์ได้และเป็น จึงจะเข้าสู่กระบวนการทดสอบตามแนวนี้ได้  
-----------------------------------------------------------------------
.......นั่นก็หมายถึงว่าครูเก่า ครูแก่ทั้งหลาย จะต้องพัฒนาตนเองให้สามารถเรียนรู้ ผ่านเครือข่ายการเรียนรู้ อย่างอินเทอร์เน็ตได้ 
.......นั่นคือสิ่งที่ครูยุคใหม่จะต้องเรียนรู้ให้เข้าใจ และนำไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน การศึกษาหลักสูตร วิเคราะห์หลักสูตร  
.......ออกแบบการจักการเรียนรู้  จัดสื่อ นวัตกรรม  จัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความสุข  
.......นำปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนไปทำวิจัยในชั้นเรียน และทำการวัดและประเมินตามสภาพจริง โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ

-----------------------------------------------------------------------
จึงขอแนะนำทางก้าวสู่ครูยุคใหม่ ดังต่อไปนี้ 
-----------------------------------------------------------------------
.......1.  ปรับเปลี่ยนตนเองด้วยการเป็นครูแห่งยุคสมัย แม้ท่านจะเป็นครูเก่า ครูแก่ที่รับราชการครูมานาน ก็ไม่ใช่อุปสรรคอันใดที่ จะทำให้ท่านก้าวสู่ความ ครูยุคใหม่ได้ เพียงแต่ท่านต้องสลัดความเคยชิน สลัดคราบไคลเก่า ๆ ที่เคยเป็นอยู่อย่างล้าหลัง แล้วหมั่นเข้ารับการอบรม ฝึกฝนตนเองในสิ่งที่เรายังไม่รู้ ยังไม่เกิด  ยังไม่มี  ยังไม่เป็น  ให้รู้  ให้มี  ให้เป็นตามที่ควรให้เกิดมี  อย่าได้คิดว่าตนเองแก่แล้ว  อายุมากแล้ว ท่านจะต้องกล้าก้าวไปกับครูรุ่นใหม่อย่างมั่นใจ อย่างไรก็ไปตามครูรุ่นใหม่ไม่ได้หรอก
-----------------------------------------------------------------------
.........2.  ควรทำตนเองให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ ลักษณะของบุคคลแห่งการเรียนรู้  คือคนที่ทำตนเองให้พร้อมสำหรับรับความรู้ที่แปลกใหม่ที่ถาโถมเข้ามาอยู่เสมอ อย่าคิดว่าตนเก่งแล้ว ดีแล้ว พร้อมมูลแล้ว ไม่เอาอีกแล้วไม่รับอีกแล้ว  อย่าตนทำเป็นน้ำชาล้นถ้วย แต่ควรทำตนเป็นคนพร่องสำหรับการเติมเต็มอยู่เสมอ หากท่านทำตนได้เช่นนี้ ก็จะทำให้ท่านพร้อมที่จะรับฟังคนอื่น พร้อมที่จะเข้ารับการอบรมด้วยใจใฝ่รู้ พร้อมที่จะแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ นั่นคือต้นธารของความรู้ ที่จะนำสู่ท่าน และถ่ายโอนสู่เด็กในโอกาสต่อไป
-------------------------------------------------------------------------
.......3.  ควรศึกษาเทคนิค  วิธีการ  การจัดการเรียนรู้ ของนักการศึกษาอย่างหลากหลาย  เพื่อนำความรู้มาดัดแปลง  ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้  ให้สอดคล้องกับธรรมชาติวิชา บริบทของโรงเรียน  และศักยภาพของผู้เรียน  ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน มีความสุขและเกิดการเรียนรู้อย่างยั่งยืนต่อไป
-------------------------------------------------------------------------
.......4.  ควรศึกษาวิธีการจัดทำสื่อ นวัตกรรมของนักการศึกษา ครูที่ประสบความสำเร็จด้านการจัดการเรียนรู้  โดยใช้สื่ออย่างหลากหลาย มาดัดแปลงออกแบบสื่อ  นวัตกรรม เป็นของตนเองเพื่อใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียน และศักยภาพนักเรียนของตนในอันที่จะพัฒนานักเรียนให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
-------------------------------------------------------------------------
.......5.  ฝึกการศึกษาเด็กเป็นรายบุคคล  รวบรวมข้อมูล  ศึกษาปัญหาเด็กทั้งก่อนเรียน ขณะเรียนและหลังเรียน เพื่อนำสู่การวิจัยในชั้นเรียนและนำสู่การแก้ปัญหาเด็ก อย่างเป็นระบบ  เรื่องนี้ท่านอาจเห็นว่าเป็นเรื่องยาก  เป็นสิ่งที่ครูเก่าครูแก่ไม่เข้าใจ  หรือเข้าใจยาก  ทำไม่ได้  อันที่จริงสิ่งใดก็ตามที่มีคนอื่นทำไว้ก่อนแล้ว  นำทางก่อนแล้ว ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ยากเกินไปที่เราจะเดินตามได้  การวิจัยในชั้นเรียนก็เช่นเดียวกัน  เราเป็นครูที่สามารถอ่านออก  เขียนได้  คิดและวิเคราะห์เป็น ย่อมไม่เกินความสามารถเราที่จะทำด้วยได้  ขอเพียงให้ท่านมีจิตใจใฝ่รู้  เสียเวลาให้กับเรื่องนี้บ้างเล็กน้อยเท่านั้นก็สามารถทำได้แล้ว
-------------------------------------------------------------------------
.......6.  ควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ที่แปลกใหม่ ๆ อยู่เสมอ ซึ่งท่านสามารถศึกษาได้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย  เช่น  จากตำรา  เอกสารที่ผู้มีประสบการณ์  มีความรู้จัดทำไว้  ศึกษาจากตัวอย่างที่นักการศึกษา  ครู  หลายท่านจัดทำไว้  แล้วนำมาดัดแปลงออกแบบเป็นของตนเอง  เพื่อนำไปสู่การจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ ตรงตามสาระการเรียนรู้ที่ต้องการจัดให้  เช่น  แผนฯแก้ปัญหาการอ่าน  เขียน  การคิดวิเคราะห์  การบูรณาการเป็นต้น
-------------------------------------------------------------------------
.......7. ควรศึกษาวิธีการดำเนินชีวิตของครู  นักการศึกษา  นักคิดหรือแม้กระทั่งผู้คนทุกสาขาอาชีพที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและต้องศึกษาจากหลายตัวอย่าง  เพื่อจะได้รู้ผู้คนจากหลายมุมมอง  โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ มีความยุ่งยากในการดำเนินชีวิต  เพื่อนำมาเป็นแบบอย่างการศึกษารายกรณี ซึ่งจะเป็นผลดีในด้านกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป  เพราะหากเราไม่พอใจในความเป็นอยู่ของตนเอง เกิดท้อแท้ในชีวิตก็จะเป็นปัญหาต่อการครองตน  และจะมีปัญหาต่อการครองคนและครองงานตามมาด้วย
-------------------------------------------------------------------------
.......8.  ควรศึกษาศิลปะการสร้างแรงจูงใจให้เด็กเกิดการใฝ่รู้ใฝ่เรียน  ให้เขาเป็นคนดี  คนเก่งและดำเนินชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข

......9.  ควรศึกษาวิธีการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข  ตามวิธีของคนที่ประสบความสำเร็จในด้านนี้มาก่อนแล้ว และศึกษาคำสอนของศาสนาต่าง ๆ เพื่อให้เห็นและเข้าใจเป้าหมายของชีวิตอย่างแท้จริง  โดยเฉพาะศาสนาที่ตนเองนับถือ  แล้วนำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง
-------------------------------------------------------------------------
.......และนี่คือข้อแนะนำเพียงบางส่วนเท่านั้นสำหรับการก้าวสู่ครูยุคใหม่  ความจริงยังมีวิธีอื่นอีกมากมายที่ท่านสามารถพัฒนาตนเอง และสร้างแบบวิธีการของตนเองเพื่อก้าวสู่วิถีครูยุคใหม่ตามต้องการอย่างภาคภูมิ

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สงครามเย็น( Cold War ) 

สงครามเย็นหมายถึง การประจันหน้าด้านอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้นำลัทธิเสรีประชาธิปไตยกับสหภาพโซเวียตประเทศ ผู้นำลัทธิคอมมิวนิสต์ เป็นการปะทะกันทุก ๆ วิถีทาง ยกเว้นด้านการทหาร การขยายอำนาจในสงครามเย็นจึงเป็นลักษณะการแสวงหาพรรคพวกร่วมอุดมการณ์และแข่งขันกันเป็นมหาอำนาจทางการเมือง การทหาร และเศรษฐกิจ โดยไม่ทำสงครามกันอย่างเปิดเผย แต่เป็นการสนับสนุนให้ประเทศที่เป็นพวกของแต่ละฝ่ายทำสงครามตัวแทน 

สาเหตุของสงครามเย็น 

สหรัฐอเมริกาได้ประกาศวาทะทรูแมน (Trueman Doctrine)ในค.ศ 1947 มีสาระสำคัญว่า ...สหรัฐอเมริกาจะโต้ตอบการคุกคามของประเทศคอมมิวนิสต์ทุกรูปแบบและทุกสถานที่ แล้วแต่สหรัฐจะเห็นสมควร โดยไม่จำกัด ขนาด เวลา และสถานที่ ....จะให้ความช่วยเหลือประเทศต่าง ๆ ให้พ้นจากการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือแก่กรีซและตุรกีเป็นตัวอย่าง สืบเนื่องมาจากสหภาพโซเวียตเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ และแทรกแซงให้ความช่วยเหลือกบฎในตุรกีและกรีกเพื่อจัดตั้งรัฐบาลคอมมิวนิสต์ การประกาศวาทะทรูแมนจึงเป็นจุดเริ่มต้นสงครามเย็นที่แท้จริง ต่อมาสหรัฐได้ประกาศแผนการมาร์แชล(Marshall Plan) เพื่อให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจกับยุโรปตะวันตก

ขณะเดียวกันสหภาพโซเวียตได้ตอบโต้ด้วยการจัดตั้ง องค์การโคมินฟอร์ม ( Cominform ) ใน ค.ศ. 1947 เพื่อขยายลัทธิคอมมิวนิสต์สู่ประเทศต่าง ๆ และสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะในยุโรปตะวันออก ต่อมาได้ซึ่งพัฒนามาเป็นองค์การ โคมินเทอร์น (Comintern)

การเผชิญหน้าทางทหาร ใน ค.ศ. 1949 สหรัฐอเมริกาได้จัดตั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organization ) ประกอบด้วยภาคี 12 ประเทศ คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ลักซัมเบอร์ก สหรัฐอเมริกา แคนาดา เดนมาร์ค ไอซ์แลนด์ อิตาลี นอร์เวย์และเปอร์ตุเกส ต่อมาตุรกีและกรีซ ได้เข้าเป็นสมาชิก และในค.ศ. 1955 เยอรมนีตะวันตกได้เข้าเป็นสมาชิกด้วย

ในค.ศ.1955 สหภาพโซเวียตได้ชักชวนให้ประเทศในยุโรปตะวันออกลงนามในสนธิสัญญาวอร์ซอร์ ( Warsaw Pact)ซึ่งเป็นสนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือทางทหาร ประเทศภาคี คือ สหภาพโซเวียต เยอรมนีตะวันออก โปแลนด์ ฮังการี รูมาเนีย บัลกาเรียและเชคโกสโลวาเกีย
วิกฤตการณ์เบอร์ลิน(The Berlin Blockade) ค.ศ.1948 

เบอร์ลินถูกแบ่งเป็น 4 ส่วนแบ่งเขตยึดครองคือ ฝรั่งเศส อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ได้ส่วนยึดครองทางเบอร์ลินตะวันตกและเยอรมนีตะวันตก สหภาพโซเวียตได้เบอร์ลินส่วนตะวันตกและเยอรมนีตะวันตก เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองสหภาพโซเวียตได้ประกาศปิดล้อมเบอร์ลินไม่ให้สัมพันธมิตรเข้าออกเบอร์ลินในวันที่ 19 มิถุนายน 1948 ถึง พฤษภาคม 1949 มิให้มีการติดต่อกับภายนอก เพื่อบังคับให้มหาอำนาจตะวันตกละทิ้งเบอร์ลิน โดยปิดเส้นทางคมนาคมทางบก ทางน้ำ ตัดกระแสไฟฟ้าประเทศสัมพันธมิตรและคณะมนตรีความมั่นคงแก้ปัญหาโดยการใช้เครื่องบินบรรทุกเครื่องอุปโภคบริโภคไปโปรยให้ชาวเบอร์ลินตะวันตกเป็นเวลากว่า 1 ปี เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การแบ่งแยก เยอรมันนีเป็น 2 ประเทศและแบ่งเบอร์ลินเป็น 2 ส่วนอย่างถาวร

การแบ่งเขตยึดครองเบอร์ลินของของมหาอำนาจ 4 ประเทศ สร้างกำแพงยาวกว่า 27 ไมล์
กั้นระหว่างเบอร์ลินในค.ศ.1961 เรียกกำแพงเบอร์ลิน
ในค.ศ.1949 เยอรมนีตะวันตกได้ตั้งเป็นประเทศ ชื่อว่า สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันและสหภาพโซเวียตได้ตั้งเขตปกครองของตนในเยอรมนีตะวันออกเป็น สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน เมื่อแบ่งประเทศแล้ว ชาวเยอรมนีตะวันออกได้อพยพมาอยู่ในเขตตะวันตกมากขึ้นตลอดเวลา ทำให้รัสเซียต้อง สร้างกำแพงยาวกว่า 27 ไมล์ กั้นระหว่างเบอร์ลินใน ค.ศ.1961 เรียก กำแพงเบอร์ลิน

เครื่องบินสัมพันธมิตรขนส่งอาหารให้กับประชาชนในเบอร์ลินตะวันตก

กำแพงเบอร์ลิน
กำแพงเบอร์ลินสร้างในปี ค.ศ. 1961 แบ่งเบอร์ลินตะวันตกและตะวันออก ออกจากกัน เป็นสัญลักษณ์สำคัญหนึ่งของสงครามเย็น และถูกทำลายไปเมื่อ ค.ศ. 1989 ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1990 โดยมิคาอิล กอบาชอฟ ยินยอมให้เยอรมันทั้งสองตัดสินใจอนาคตตนเอง โดยสหภาพโซเวียตจะไม่เข้าแทรกแซงจึงมีการรวมเยอรมันเป็นประเทศเดียวกันอย่างเป็นทางการ เรียกว่า สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี 

เอกสารอ้างอิง

  • คณะกรรมการบริหารวิชาบูรณาการ. มรดกอารยธรรมโลก. กรุงเทพมหานคร :สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ , 2545.
  • สุปราณี มุขวิชิต.ประวัติศาสตร์ยุโรป.เวียนนา ค.ศ.1815 – เบอร์ลิน 2 นคร.
  • สุวิมล รุ่งเจริญ. อารยธรรมสมัยใหม่-ปัจจุบัน. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , 2540.
แผนที่สงครามโลครั้งที่ 1แสดงการรบในยุโรปและตะวันออกกลาง
สงครามโลกครั้งที่ 1

            เริ่มใน ค.ศ. 1914 สิ้นสุดใน ค.ศ.1918 เป็นความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ 2 ค่าย คือ ประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย – ฮังการี และอิตาลี (ผู้นำสำคัญ คือบิสมาร์ค แห่งเยอรมนี) กับฝ่าย ประกอบด้วย Triple Entente ได้แก่ บริเตนใหญ่ ( อังกฤษ ) ฝรั่งเศส และรัสเซีย การรบเริ่มขึ้นหลังการลอบสังหารมกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย – ฮังการี และสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของมหาอำนาจกลาง หรือ Triple Alliance มีการทำสนธิสัญญาแวร์ซายส์ บังคับให้เยอรมนีและพันธมิตรเสียค่าปฏิกรรมสงครามชดใช้จำนวนมหาศาลและเสียดินแดนที่เป็นอาณานิคมให้แก่ฝ่าย Triple Entente

สาเหตุสงครามโลกครั้งที่ 1 


ลัทธิชาตินิยม

 
การเกิดลัทธิชาตินิยมจากคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา ทำให้เกิดระบบรวมรัฐชาติ สร้างระบบรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง รัฐชาติในประเทศยุโรปต่างแสวงหาความเป็นมหาอำนาจ ทั้งทางทหารและเศรษฐกิจ รัฐชาติหมายถึง รัฐหรือประเทศที่ประชาชนมีความรู้สึกผูกพันกัน มีความสามัคคี ภาคภูมิใจในความเป็นชาติ จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ความรักชาติที่รุนแรงจนเป็นลัทธิชาตินิยม ทำให้เชื่อว่าชาติตนเหนือกว่าชาติอื่น ผลักดันชาติของตนได้เปรียบชาติอื่นไม่ว่าด้านเศรษฐกิจ หรือการทหาร นำไปสู่การแข่งขันอำนาจกัน จนกลายเป็นสงคราม เช่น สงครามการรวมอิตาลี การรวมเยอรมนี จนถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง 

ลัทธิจักรวรรดินิยม 

ลัทธิชาตินิยมนำไปสู่ลัทธิจักรวรรดินิยม ลัทธิจักรวรรดินิยม หมายถึงประเทศที่พัฒนา แล้วประสบความสำเร็จด้านเศรษฐกิจ การทหาร และวิทยาศาสตร์ เข้าครอบครอง ที่ด้อยพัฒนากว่า ลัทธิจักรวรรดินิยมเริ่มจากปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้ต้องการวัตถุดิบและตลาด มหาอำนาจยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ปรัสเซีย ( เยอรมนี) เนเธอร์แลนด์ ต่างแข่งขันกันขยายอำนาจในการครอบครองดินแดนในทวีปเอเชียอเมริกากลางและอัฟริกาโดยครอบงำทาวัฒนธรรม และวิถีชีวิต เป็นแหล่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้เมืองแม่ 

การแบ่งกลุ่มพันธมิตรยุโรป 

นโยบายการรวมกลุ่มที่มีผลประโยชน์ตรงกัน เริ่มต้นใน ค.ศ. 1907 เมื่อ เยอรมัน และออสเตรีย-ฮังการีลงนามในสนธิสัญญาพันธมิตรไตรมิตร (Triple Alliance )ประจันหน้ากับรุสเซีย เนื่องจากเยอรมนี ต้องการไม่ให้รัสเซียเป็นใหญ่ในชนเผ่าสลาฟแหลมสมุทรบอลข่าน ต่อมามีอิตาลีมาร่วมประเทศ เพราะไม่พอใจฝรั่งเศสที่แย่งครอบครองตูนิเซีย ในฐานะรัฐในอารักขา ฝ่ายออสเตรีย – ฮังการีซึ่งต้องการเป็นใหญ่ในแหลมบอลข่านเช่นกัน โดยได้รับการสนับสนุนจากเยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซียลงนามในสนธิสัญญาสันธไมตรีไตรมิตร (Triple Entente ) ค.ศ. 1907และเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นด้วย 

ความขัดแย้งเรื่องแหลมบอลข่าน 

สาเหตุสำคัญเกิดจากการที่ออสเตรีย – ฮังการีขัดแย้งกับเซอร์เบีย เรื่องการสร้างเขตอิทธิพลในแหลมบอลข่าน เยอรมนีสนับสนุนออสเตรีย – ฮังการี ขณะที่รัสเซียสนับสนุนเซอร์เบีย ความขัดแย้งขยายความรุนแรงเป็นสงครามระหว่างรัฐในแหลมบอลข่าน มหาอำนาจจึงมีโอกาสแทรกแซงและตั้งกลุ่มพันธมิตร 

จุดระเบิดของสงครามโลกครั้งที่ 1 มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการีคือ อาร์ค ฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ กับพระชายาโซเฟีย ถูกลอบปลงพระชนม์ในวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ.1914ที่เมืองซาราเจโว ขณะเสด็จเยือนเมืองหลวงของบอสเนีย โดยคนร้ายชื่อ กาฟริโล ปรินซิพ นักศึกษาชาวบอสเนียสัญชาติเซอร์เบีย ออสเตรียเรียกร้องให้เซอร์เบียปฏิบัติตามข้อเรียกร้อง เซอร์เบียปฏิเสธออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบีย 28 กรกฎาคม 1914 รัสเซียแสดงตนว่าเป็นผู้พิทักษ์เผ่าสลาฟจึงระดมพล เยอรมนีประกาศสงครามกับฝรั่งเศสและรัสเซีย ต่อมาอังกฤษเข้าสู่สงครามเมื่อเยอรมนีบุกเบลเยียม และญี่ปุ่นได้ประกาศสงครามต่อเยอรมนี เพราะมุ่งหวังในอาณานิคมของเยอรมนีในจีน 

ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 

            1. การสถาปนาองค์การสันนิบาตชาติ แต่มีจุดอ่อนในการรักษาสันติภาพ เพราะรัสเซีย ถอนตัวและสหรัฐอเมริกาไม่เข้าเป็นสมาชิก ทั้งยังไม่มีกองทหารรักษาสันติภาพด้วย 

            2. เกิดสนธิสัญญาสันติภาพที่ประเทศผู้ชนะร่างขึ้นมี 5 ฉบับ 

- สนธิสัญญาแวร์ซายส์ทำกับเยอรมนี เยอรมนีต้องเสียค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาลและเสียดินแดนหลายแห่ง ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก ราคาสินค้าตกต่ำ ในเยอรมนีไม่สามารถใช้หนี้สงครามได้และมองสนธิสัญญานี้ว่าไม่เป็นธรรม จนฮิตเลอร์นำมาประณามเมื่อเริ่มมีอำนาจ 

- สนธิสัญญาแซงต์ แยร์แมงทำกับออสเตรีย 
- สนธิสัญญาเนยยี ทำกับบัลแกเรีย 
- สนธิสัญญาตริอานองทำกับฮังการี 
- สนธิสัญญาแซฟส์ทำกับตุรกี ต่อมาเกิดการปฏิวัติในตุรกีจึงมีการทำสนธิสัญญาใหม่เรียกว่าสนธิสัญญาโลซานน์ 

            3. ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น และความยากจนต่อเนื่องจากก่อนสงคราม นำไปสู่การที่เลนิน ปฏิวัติเปลี่ยนประเทศรัสเซียเป็นคอมมิวนิสต์ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 1 

            4. ในยุโรปมีรูปแบบของรัฐเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้แก่รัสเซีย เลนินปฏิวัตินำระบบคอมมิวนิสต์มาปกครองรัสเซียใน ค.ศ. 1917 และในค.ศ. 1924 -1953 สตาลินได้ใช้ระบบเผด็จการที่เน้นการปราบศัตรูทางการเมืองและการผูกขาดอำนาจด้วยความรุนแรงมากขึ้น ส่วนในเยอรมนี ฮิตเลอร์ได้เป็นผู้นำ ใช้ระบบเผด็จการโดยอำนาจพรรคนาซี ตั้งแต่ ค.ศ.1933 และในอิตาลี มุสโสลินีได้ตั้งพรรคฟาสซิสต์ขึ้นในเวลาต่อมา 

            5. เกิดประเทศใหม่ 7 ประเทศเนื่องมาจากการแยกดินแดนได้แก่ ฮังการี ยูโกสลาเวีย โปแลนด์ เชคโกสโลวาเกีย ลิทัวเนีย แลตเวีย แอสโตเนีย
อิทธิพลของอารยธรรมตะวันตก

            วัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย การติดต่อกับชาวต่างชาติของคนไทยในยุคสมัยต่างๆ มีผลต่อสังคมไทยหลายด้าน วัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตก ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย 
            โดยวัฒนธรรมบางอย่างได้ถูกปรับใช้ให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตและประเพณีดั้งเดิมของคนไทย  ขณะที่วัฒนธรรมบางอย่างรับมาใช้โดยตรง

            1.  วัฒนธรรมตะวันออกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันออกต่อสังคมไทย มีมาตั้งแต่ก่อนการตั้งอาณาจักรของคนไทย  เช่น สุโขทัย ล้านนา ซึ่งมีทั้งวัฒนธรรมที่รับจากอินเดีย จีน เปอร์เซีย เพื่อนบ้าน เช่น เขมร มอญ พม่า โดยผ่านการติดต่อค้าขาย การรับราชการของชาวต่างชาติ การทูต และการทำสงคราม
            สำหรับตัวอย่างอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันออกที่มีต่อสังคมไทยมีดังนี้
1.  ด้านอักษรศาสตร์  เช่น  ภาษาไทยที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นในสมัยสุโขทัยได้รับอิทธิพลจากภาษาขอม  รับภาษาบาลี  ภาษาสันสกฤตจากหลายทางทั้งผ่านพระพุทธศาสนา  ผ่านศาสนาพราหมณ์-ฮินดู  จากอินเดีย  เขมร  นอกจากนี้  ในปัจจุบันภาษาจีน  ญี่ปุ่น  เกาหลี  ก็ได้มีอิทธิพลต่อสังคมไทยมากขึ้น

2.  ด้านกฎหมาย  มีการรับรากฐานกฎหมาย  มีการรับรากฐานกฎหมายอินเดีย  ได้แก่  คัมภีร์พระธรรมศาสตร์  โดยรับผ่านมาจากหัวเมืองมอญอีกต่อหนึ่ง  และกลายเป็นหลักของกฎหมายไทยสมัยอยุธยาและใช้มาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

3.  ด้านศาสนา  พระพุทธศาสนาเผยแผ่อยู่ในผืนแผ่นดินไทยมาเป็นเวลายาวนานแล้ว  ดังจะเห็นได้จากแว่นแคว้นโบราณ  เช่น  ทวารวดี  หริภุญชัยได้นับถือพระพุทธศาสนา  หรือสุโขทัย  รับพระพุทธศาสนาจากนครศรีธรรมราชและได้ถ่ายทอดให้แก่อาณาจักรอื่น ๆ ซึ่งมีผลต่อการดำเนินชีวิตและการสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมของคนไทยตลอดมา  นอกจากนี้  คนไทยยังได้รับอิทธิพลในการนับถือศาสนาอิสลามที่พ่อค้าชาวมุสลิมนำมาเผยแผ่  รวมทั้งคริสต์ศาสนาที่คณะมิชชันนารีนำเข้ามาเผยแผ่ในเมืองไทยนับตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นมา

4.  ด้านวรรณกรรม  ในสมัยอยุธยาได้รับวรรณกรรมเรื่องรามเกรียรติ์  มาจากเรื่องรามายณะของอินเดีย  เรื่องอิเหนาจากชวา  ในสมัยรัตนโกสินทร์ได้มีการแปลวรรณกรรมจีน  เช่น  สามก๊ก  ไซอิ๋ว  วรรณกรรมของชาติอื่น ๆ เช่น  ราชาธิราชของชาวมอญ  อาหรับราตรีของเปอร์เซีย  เป็นต้น

5.  ด้านศิลปวิทยาการ  เช่น เชื่อกันว่าชาวสุโขทัยได้รับวิธีการทำเครื่องสังคโลกมาจากช่างชาวจีน รวมทั้งรูปแบบสถาปัตยกรรมเนื่องในพระพุทธศาสนาจากอินเดีย  ศรีลังกา

6.  ด้วยวิถีการดำเนินชีวิต เช่น คนไทยสมัยก่อนนิยมกินหมากพลู รับวิธีการปรุงอาหารที่ใส่เครื่องแกง เครื่องเทศจากอินเดีย  รับวิธีการปรุงอาหารแบบผัด การใช้กะทะ การใช้น้ำมันจากจีน  ในด้านการแต่งกาย คนไทยสมัยก่อนนุ่งโจงกระเบนแบบชาวอินเดีย  เป็นต้น

            2.  วัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย ไทยได้รับวัฒนธรรมตะวันตกหลายด้านมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ในระยะแรกเป็นความก้าวหน้าด้านการทหาร สถาปัตยกรรม ศิลปวิทยาการ ในสมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 3  เป็นต้นมา คนไทยรับวัฒนธรรมตะวันตกมากขึ้น  ทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีของคนไทยมาจนถึงปัจจุบัน

            ดัวอย่างวัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทยที่สำคัญมีดังนี้
1.  ด้านการทหาร  เป็นวัฒนธรรมตะวันตกแรก ๆ ที่คนไทยรับมาตั้งแต่อยุธยา  โดยซื้ออาวุธปืนมาใช้  มีการสร้างป้อมปราการตามแบบตะวันตก  เช่น  ป้อมวิไชยประสิทธิ์ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา  ออกแบบโดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส  ในสมัยรัตนโกสินทร์มีการจ้างชาวอังกฤษเข้ามารับราชการเพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการทหาร  มีการตั้งโรงเรียนนายร้อย  การฝึกหัดทหารแบบตะวันตก

2.  ด้ารการศึกษา  ในสมัยรัชกาลที่ 3  มีชนชั้นนำจำนวนหนึ่ง  เช่น  พระอนุชาและขุนนางได้เรียนภาษาอังกฤษและวิทยาการตะวันตก  ในสมัยรัชกาลที่ 4  ทรงจ้างครูต่างชาติมาสอนภาษาอังกฤษและความรู้แบบตะวันตกในราชสำนัก
ในสมัยรัชการลที่ 5  มีการตั้งโรงเรียนแผนใหม่  ตั้งกระทรวงธรรมการขึ้นมาจัดการศึกษาแบบใหม่  ทรงส่งพระราชโอรสและนักเรียนไทยไปศึกษาที่ประเทศต่าง ๆ เช่น  โรงเรียนแพทย์  โรงเรียนกฎหมาย  ในสมัยรัชกาลที่ 6  มีพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับและการตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 3.  ด้านวิทยาการ  เช่น  ความรู้ทางด้านดาราศาสตร์  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้ความรู้ทางดาราศาสตร์จนสามารถคำนวณการเกิดสุริยุปราคาได้อย่างถูกต้อง  ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่  ซึ่งเริ่มในสม้ยรัชกาลที่ 3  ในสมัยรัชกาลที่ 5  มีการจัดตั้งโรงพยาบาล  โรงเรียนฝึกหัดแพทย์และพยาบาล  ความรู้ทางการแพทย์แบบตะวันตกนี้ได้เป็นพื้นฐานทางการแพทย์และสาธารณสุขไทยในปัจจุบัน 
 ด้านการพิมพ์  เริ่มจากการพิมพ์หนังสือพิมพ์รายปักษ์ภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2387  ชื่อ  “บางกอกรีคอร์เดอร์”  การพิมพ์หนังสือทำให้ความรู้ต่าง ๆ แพร่หลายมากขึ้น  ในด้านการสื่อสารคมนาคม  เช่น  การสร้างถนน  สะพาน  โทรทัศน์ โทรศัพท์  กล้องถ่ายรูป  รถยนต์  รถไฟฟ้า  เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น  ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้แก่คนไทยเป็นอย่างมาก

4.  ด้านแนวคิดแบบตะวันตก  การศึกษาแบบตะวันตกทำให้แนวคิดทางการปกครอง  เช่น  ประชาธิปไตย  คอมมิวนิสต์  สาธารณรัฐแพร่เข้ามาในไทย  และมีความต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง  นอกจากนี้  วรรณกรรมตะวันตกจำนวนมากก็ได้มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนรูปแบบการประพันธ์จากร้อยกรองเป็นร้อยแก้ว  และการสร้างแนวคิดใหม่ ๆ ในสังคมไทย  เช่น  การเข้าใจวรรณกรรมรูปแบบนวนิยาย  เช่น  งานเขียนของดอกไม้สด  ศรีบูรพา

 5.  ด้านวิถีการดำเนินชีวิต  การรับวัฒนธรรมตะวันตกและสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มาใช้  ทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยแบบเดิมเปลี่ยนแปลงไป  เช่น  การใช้ช้อนส้อมรับประทานอาหารแทนการใช้มือ  การนั่งเก้าอี้แทนการนั่งพื้น  การใช้เครื่องแต่งกายแบบตะวันตกหรือปรับจากตะวันตก  การปลูกสร้างพระราชวัง  อาคารบ้านเรือนแบบตะวันตก  ตลอดจนนำกีฬาของชาวตะวันตก  เช่น  ฟุตบอล  กอล์ฟ  เข้ามาเผยแพร่  เป็นต้น
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ทวีปอเมริกาใต้

ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์

            การตั้งถิ่นฐานของชนพื้นเมืองก่อนที่ชาวยุโรปจะเข้ายึดครอง เชื่อกันว่าชาวอินเดียนแดงได้อพยพมาจากทวีปเอเชีย 
            โดยเดินทางข้ามช่องแคบเบริ่ง เร่ร่อนจากทวีปอเมริกาเหนือลงสู่ ทวีปอเมริกาใต้ และมาตั้งหลักแหล่งอย่างมั่นคงบริเวณเทือกเขาแอนดีส 
            มีหลักฐานที่เด่นชัดคือซากเมือง มาชู ปิกชู Machu Piachu ของอาณาจักรอินคา บริเวณประเทศเปรู 
            นับตั้งแต่เริ่มมีการตั้งถิ่นฐานยุคแรกเมื่อ 20,000 ปีที่ผ่านมา มนุษย์ดำรงชีพด้วยการเก็บเกี่ยวจากธรรมชาติ ล่าสัตว์ เก็บของป่ากิน 
            จนถึงยุคการปลูกพืชพรรณและเลี้ยงสัตว์ กลายเป็นการวางรากฐานด้านเกษตรกรรมอย่างเป็นระบบ 
            รวมทั้งการก่อตั้งหมุ่บ้านและสถานที่ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ตามความเชื่อของมนุษย์ในสมัยนั้น 
            เมื่อ 8,000 ปีก่อนคริสตศักราช ดินแดนอันกว้างใหญ่ของทวีปอเมริกาใต้ สามารถเพาะปลูกพืชได้หลายชนิด ตามลักษณะภูมิอากาศ เช่น มันฝรั่ง ฮอลลูโก กวีนัว กีวีชา ฟักทอง ฝ้ายพริก ข้าวโพด ฯลฯ
            ในยุคเปรูโบราณ ลามา อัลปาก้า และวิกูญา เป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์ สัตว์เหล่านี้ให้เส้นใยสำหรับเสื้อผ้าอันอบอุ่น เนื้อสัตว์สำหรับประกอบอาหาร หนังและกระดูกสำหรับทำเครื่องมือต่าง ๆ หยดน้ำมันสำหรับให้ความร้อนและพลังงาน และทำให้ผู้คนขนส่งสินค้าไปในระยะไกล ๆ ได้ 
            เมื่อ 7,000 ปีก่อนคริสตศักราช สัตว์เหล่านี้ทำให้คนสามารถอยู่อาศัยในพื้นที่เปราะบางที่สุดของเทือกเขาแอนดีส ซึ่งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 4,200 เมตร 
            ที่ซึ่งยากแก่การทำสวนไร่นาและชีวิตความเป็นอยู่ขึ้นกับการเคลื่อนที่ไปมา ทำให้เข้าถึงระบบนิเวศวิทยาที่หลากหลาย พร้อมทั้งแหล่งทรัพยากรทางเศรษฐศาสตร์ที่เติมให้สมบูรณ์ 
            ขณะที่วัฒนธรรมภาคพื้นค่อยๆ รวมตัวเข้าด้วยกัน เทคนิคใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นมา เช่น การทอเส้นใย การทำโลหะผสมและการทำอัญมณี ทำให้วัฒนธรรมระดับสูงเกิดขึ้น เช่น
ชาแวง ( 1,000 ปีก่อนคริสตศักราช ) ,
พารากัส ( 700 ปีก่อนคริสตศักราช ) ,
โมช ( 100 ปีหลังคริสตศักราช ),
นาซก้า ( 300 ปีหลังคริสตศักราช ),
วารี ( 600 ปีหลังคริสศักราช ),
ชิมู ( 700 ปีหลังคริสตศักราช ),
ชาชาโปยาส ( 800 ปีหลังคริสตศักราช )
และอาณาจักรอินคา 1,500 ปีหลังคริสตศักราช
            ชาวอินคาบูชาเทพเจ้าแห่งผืนดินปาชามามาและเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์อินติ อำนาจอธิปไตยของชาวอินคาคือ ผู้นำสูงสุดของทาวันทินซูยู (อาณาจักรอินคา) เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเป็นสิ่งซึ่งได้รับตกทอดมาจากอินติ 

            ในยุคที่เฟื่องฟูสูงสุดชาวอินคาได้สร้างงานทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมที่น่าประทับใจ ตัวอย่างที่สำคัญที่สุดที่สามารถพบเห็นได้ในปัจจุบันนี้คือซากเมืองคุชโก เมืองหลวงของอาณาจักรอินคาแห่งนี้และพื้นที่รอบ ๆ เช่น ป้อมซัคเซย์วาแมน และป้อมมาชูปิกชู
            เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส Christopher Columbus ชาวอิตาเลียน เดินทางสำรวจพบทวีปอเมริกา ใน ค.ศ. 1492 แล้ว ชาวยุโรปก็สนใจที่จะแล่นเรือมาทางทิศตะวันตกเพิ่มมากขึ้น 
            ในปี ค.ศ. 1499 นักเดินเรือชาวอิตาลียน ชื่อ อเมริโก เวสปุกชี Americo Vespucci เดินทางสำรวจให้กับสเปน ได้แล่นเรือสำรวจชายฝั่งประเทศเวเนสุเอลา ทะเลสาบมาราไคโบ 
            พบเห็นบ้านเรือนของชนพื้นเมืองก่อตั้งอยู่ริมน้ำ คล้ายหมู่บ้านของชาวเวนิส จึงเรียกดินแดนที่เขาพบนี้ว่า เวเนสุเอลา ซึ่งหมายถึง เวนิสน้อย 

            ในปี ค.ศ. 1500 นักเดินเรือชาวโปรตุเกส ชื่อ เปโดร อัลวาเรส คาบรัล Pedro Alvares Cabral ได้แล่นเรือสำรวจชายฝั่งทางด้านตะวันออกของประเทศบราซิล 
            หลังจากนั้นชาวโปรตุเกสก็เข้ายึดครองทางด้านตะวันออกของทวีป ส่วนสเปนก็เข้าสำรวจทางด้านตะวันตกจากภาคเหนือสู่ภาคใต้ ซึ่งในที่สุดได้นำไปสู่การก่อตั้งอาณานิคมของชาวสเปนหลายแห่ง

            เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1492 โคลัมบัสได้รับการแต่งตั้งจาก พระนางเจ้าอีสเบลลา แห่งสเปน ให้เป็นผู้สำเร็จราชการครอบครองหมู่เกาะอินดิสตะวันตก
ค.ศ. 1519 เฮอร์นาน คอร์เตส Hernan Cortes ได้พิชิตอาณาจักรแอชเต็ก ในเม็กซิโก
            ค.ศ. 1531 ฟรานซีสโก ปิซาโร Francisco Pizarro เข้าสำรวจพบอาณาจักรอินคา และทำสงครามกับชาวอินคา นาน 5 ปีสามารถปราบอาณาจักรอินคาได้
            ค.ศ. 1541 เปโดร เดอ วัลดิเวีย Pedro de Valdivia นำทหารสเปนเข้าครอบครอง ดินแดนชิลีได้สำเร็จ

            ดินแดนส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้ตกเป็นอาณานิคมของสเปนและโปรตุเกส ยกเว้น 
กายอานาและฟอร์กแลนด์ เป็นของสหราชอาณาจักร
เฟรนซ์กิอานา เป็นของฝรั่งเศส
สุรินาเม เป็นของเนเธอร์แลนด์

การประกาศเอกราชของประเทศต่าง ๆ ในทวีปอเมริกาใต้

            ด้วยเหตุที่อาณานิคมในทวีปอเมริกาเหนือได้ประกาศเอกราช ตั้งเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดา 
            จึงเป็นตัวอย่างที่ชาวอาณานิคมในทวีปอเมริกาใต้ต้องการเอกราช โดยเริ่มจากชาวอาณานิคมในเมืองคารากัส ได้ก่อการกบฏขึ้นในปี ค.ศ. 1810 ขับไล่แม่ทัพของสเปน ออกไป และตั้งคณะกรรมการขึ้นปกครองตนเอง 
            โดยมีผู้นำในอาณานิคมหลายคน ที่ต้องการปลดปล่อยอาณานิคมในทวีปอเมริกาใต้ให้เป็นอิสระ เช่น
            ในปี ค.ศ. 1818 โฮเซ เดอ ซาน มาร์ติน Jose de San Martin เป็นผู้นำในการปลดปล่อย ในอาร์เจนตินาและชิลี ให้เป็นเอกราช
            ในปี ค.ศ. 1821 ซิมอน โบลิวาร์ Simon Bolivar เป็นผู้นำในการปลดปล่อย เอกวาดอร์ และเวเนสุเอลา ได้สำเร็จ
            ในปี ค.ศ. 1822 โอรสของกษัตริย์แห่งโปรตุเกส ก็ประกาศบราซิลให้เป็นเอกราช โดยมีพระองค์เป็นปฐมกษัตริย์ ค.ศ. 1889 ทหารเข้ายึดอำนาจล้มระบอบกษัตริย์เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ